วิธีแก้อาการซึมเศร้า เมื่อเรารู้สึกว่าโลกหม่นหมอง ไม่มีอนาคตสำหรับเรา จะจัดการชีวิตยังไงดี ช่วงนี้รู้สึกเบื่อโลก เบื่อชีวิต หันไปทางไหนก็เจอแต่เรื่องเครียด ยิ่งพยายามก็เห็นแต่ทางตันไม่รู้จะหาทางออกยังไง ไม่รู้ว่าจะมีอนาคตที่ดีสำหรับเราได้ไหม ได้แต่คิดวนๆ ซ้ำๆ กับเรื่องเดิม โทษตัวไปมามา วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า อะไรๆ ก็แย่ไปหมด
ยิ่งอายุมากขึ้นความกดดันก็มากขึ้นตาม ชีวิตเราดีได้เท่าคนอื่นหรือยัง การงานมั่นคงพอไหม เงินเก็บที่มีเพียงพอหรือป่าว ยังไม่แต่งงานมีครอบครัวแล้วมันผิดมากไหมนะ คนรอบตัวเราดูดีกันหมด ยกเว้นชีวิตเรา ทำไมเราถึงห่วยขนาดนี้นะ บางทีมันก็มีเรื่องหลายเรื่องที่คิดไม่ตก แล้วก็รู้สึกเครียด สับสนไปหมด คิดยังไง หาทางแก้ยังไงก็ทำไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งกลุ้มจนเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากจะตื่นขึ้นมา ไม่อยากมีวันพรุ่งนี้ รู้สึกว่าโลกไม่น่าอยู่เลยสำหรับเรา ทำไมชีวิตมันยากจังนะ
ถ้าเรามีอาการแบบนี้ ก็อยากบอกว่า เราเข้าใจ ไม่ผิดเลย ไม่ผิดสักนิดที่เรารู้สึกแย่กับชีวิตอันยาวไกลนี้ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้เสมอแหละ อยู่ที่ว่าจะไปแจ็กพอตที่จังหวะไหน บางคนอาจจะกลุ้ม เครียดมากตอนอายุ 25 บางคนก็เครียดหนักตอนใกล้ 30 หรือพอไปถึงอายุ 40 ก็ดันเกิดคำถามประหลาดๆ ในชีวิต อย่างเช่นว่า ที่ผ่านมาเราเสียเวลาให้กับสิ่งที่ทำแล้วไม่เกิดผลมากเกินไปหรือเปล่า จนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า
เจ้าอาการซึมเศร้าเนี่ยมันไม่เข้าใครออกใคร ทุกคนสามารถเป็นกันได้เนื่องจากสภาพแวดล้อม ความเป็นสังคมเมืองที่ทุกคนต่างสนใจแต่เรื่องตัวเอง ไหนจะภาษีสังคมอีก แล้วยังมีโซเชียลมีเดียที่เป็นเหมือนดาบสองคมคอยทิ่มแทงเราทุกวันโดยที่เราไม่ได้รู้ตัวเลย
ดูแลสุขภาพชีวิตในทุกด้านกับ Summerteas
สาเหตุของอาการซึมเศร้า
นึกภาพชีวิตคนเมืองอย่างเราๆ ดูดิ ไหนจะต้องฝ่ารถติดไปทำงานวันละ 4 ชม ในวันทำงานปกติ ทำงานขยันไปเงินเดือนก็ไม่ขึ้น มีแต่ยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดหย่อน โทษใครไม่ได้ก็ต้องโทษตัวเองที่เรามันห่วยอ่ะเนอะ
เราเคยมีอาการเครียดจนหูอื้อ ไม่ค่อยมีความสุข สิ่งที่เคยทำแล้วสนุกก็ไม่อยากทำ ได้แต่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่เอาไหน แต่พอเราเริ่มเข้าใจตัวเอง และตัดสินใจเลือกแก้ปัญหาที่เป็นประเด็นใหญ่ในชีวิตได้ อาการพวกนั้นก็ค่อยๆ หายไป ทำให้เริ่มรู้สึกดีกับชีวิตมากขึ้น มันค่อนข้างใช้เวลาเลยแหละ
ถ้าเรามองว่าอาการซึมเศร้ามันเป็นเรื่องเล็ก ไม่ต้องใส่ใจเยอะก็ได้ แต่เราจะบอกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่นะ เพราะจิตใจที่อ่อนแอนำมาซึ่งโรคภัยในร่างกาย เช่น โรคกระเพาะ โรคลำไส้ นอนไม่หลับ
ซึ่งอาการนอนไม่หลับเนี่ยจะยิ่งทำให้เรามีอาการซึมเศร้าเพิ่มขึ้นไปอีก สารเคมีในสมองไม่หลั่ง ไม่มีความสุข วนซ้ำไปเรื่อยๆ คนที่มีอาการนี้คงได้แต่คิดว่าทำไมชีวิตถึงยากเย็น ก็แค่เครียดๆ นิดหน่อยเอง แต่เป็นมาจะปีแล้วทำอย่างไรก็ไม่หาย ยิ่งนานวันโรคยิ่งรุมเร้า เงินที่เราสู้อุตส่าห์เก็บออมกลับต้องผันมาเป็นค่ายารักษาโรค เราต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน ขอแค่วันธรรมดาๆ ที่ไม่ต้องเจ็บป่วย นอนหลับฝันดี มันพอจะเป็นไปได้ไหมนะ
เรามีคนรอบตัวที่มีอาการซึมเศร้า บางคนเพิ่งรู้ตัวว่าเป็น บางคนก็เป็นมานานหลายปีแล้ว เลยเข้าใจว่าโรคนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าเป็นหนักมากก็จะทำให้เราไม่สามารถทำงานได้เลย เพราะต้องคอยกินยาคุมสารเคมีในสมองตลอดชีวิต ห่างหมอไม่ได้ ขาดยาไม่ได้ ซึ่งอาการข้างเคียงคือ ทำให้ง่วง ไม่สามารถโฟกัสหรือคิดอะไรที่ซับซ้อนได้ และอ้วนขึ้น ถ้าหากว่าต้องทำงานยากๆ แล้วมีอาการเครียดสะสมขึ้นมาอีก ก็จะทำให้เป็นซึมเศร้าหนักขึ้น จนไปถึงจุดที่คิดฆ่าตัวตายได้
เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ตัวว่ามีอาการเครียดสะสม จิตตก แก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ ก็ต้องพยายามหาทางแก้ อย่าปล่อยให้ความดาร์คเข้ามาในจิตใจมากเกินไป เพราะมันมีแต่จะทำให้สุขภาพจิตเราแย่ลง จนสุดท้ายสมองไม่สามารถหลั่งสารเคมีในแบบปกติได้ ที่สำคัญคือไม่สามารถทำชีวิตให้เป็นเหมือนคนทั่วไปได้
เล่ามาซะยาวเลย เรื่องของอาการซึมเศร้าที่เรามองว่าเป็นเรื่องที่เราต้องคอยตรวจเช็คสุขภาพจิตเสมอ ก่อนอื่นอยากให้เพื่อนๆ หาสาเหตุของความเครียดนี้ก่อนว่ามาจากเรื่องไหนจะได้แก้ได้ตรงจุด
1. มีปัญหาเรื่องงาน
เรากำลังไม่มีความสุขกับที่ทำงาน ไม่ชอบเนื้องานที่ทำอยู่ ไม่ชอบเพื่อนร่วมงาน ไม่ชอบบรรยากาศการทำงานอยู่หรือเปล่า หรือกำลังคิดว่าอยากเปลี่ยนไปทำงานที่ใหม่เพราะอยากได้เงินเดือนที่มากขึ้นใช่ไหม แต่ก็รู้สึกกลัว ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะหางานใหม่ทำได้ เพราะเราไม่ได้เก่งเอาซะเลย
2. มีปัญหาเรื่องเงิน หนี้สิน
เงินเดือนที่มีไม่พอใช้ตลอดเวลา เงินเดือนเหมือนเงินทอน มีใช้อยู่แค่ อาทิตย์เดียว หลังจากนั้นก็ไม่เหลือแล้ว ต้องใช้ชีวิตแบบเครียดๆ กดดันตลอดเวลา ไหนจะค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่ากิน ยิ่งมองยิ่งไม่เห็นอนาคต ไม่รู้ว่าจะหมดหนี้ได้เมื่อไหร่ วันไหนถึงจะมีความสุขได้
3. อยู่คนเดียวมากเกินไป
กลับห้องนอนก็อยู่คนเดียว กินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว ไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อน ยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกว่างเปล่าในจิตใจ จนเริ่มคิดว่าการมีตัวตนอยู่ของเราคงไม่จำเป็นมั้ง อยู่คนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียวอาจทำให้เรามีอาการฟุ้งซ่านจนจิตตกได้ แล้วก็เครียดสะสมจนมีอาการซึมเศร้าได้
4. เครียดมากแต่ไม่มีที่ระบาย
บางทีเราก็อยากจะเล่าเรื่องเครียดๆ ให้เพื่อนฟังบ้าง แต่ก็เกรงใจ กลัวเพื่อนจะเลิกคบถ้าเราเอาปัญหาไปปรึกษาบ่อยๆ เลยต้องเก็บความทุกข์ไว้ในใจอยู่อย่างนั้น แล้วมันก็ยิ่งสะสมเพิ่มไปเรื่อยๆ ทำให้ความสุขในชีวิตลดลง มีแต่ความเศร้าเข้ามาแทนที่
5. รู้สึกผิดหวังกับคนใกล้ตัว
อาจจะโดนแฟนบอกเลิก โดนพ่อและแม่ด่าว่าเป็นประจำ จนรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ทำเท่าไหร่ก็ไม่ได้ดี ไม่มีคนคอยรัก คอยห่วงใย ไม่เคยเป็นที่รักของใคร พอผิดหวังบ่อยๆ เข้า แล้วสตรองไม่พอ มันก็อาจจะทำให้มีอาการซึมเศร้าได้อีกเหมือนกัน
นอกจากนี้แล้ว อาการซึมเศร้ายังมีได้อีกหลายสาเหตุนะ ทั้งจาก
- สภาพแวดล้อมที่อยู่
- กรรมพันธุ์
- การเมือง
- Social Network
- Reverse Culture Shock
- อื่นๆ
เราน่าจะพอเห็นปัญหาของตัวเองที่ทำให้มีอาการซึมเศร้าแล้วเนอะ ทีนี้เรามาดูวิธีช่วยคลายความเศร้ากัน
วิธีแก้อาการซึมเศร้า เบื้องต้น
1. หาคนรับฟัง
ฟังอย่างเดียว ไม่วิจารณ์ พร้อมคำแนะนำเล็กน้อยที่พอช่วยได้ เราต้องพูดความในใจออกมาบ้างว่ารู้สึกแย่มากแค่ไหน ให้คนที่เราไว้ใจฟัง ขอให้เค้าได้ฟังและบอกว่าเข้าใจ ก็เพียงพอแล้ว การได้เห็นว่ามีคนยืนอยู่ข้างๆ พร้อมจะให้กำลังใจ จะช่วยให้เรามีสติและมีแรงพอที่จะไปต่อได้ พอเราเริ่มสตรองขึ้นความสุขที่เคยหายไปจะกลับมาหาอีกครั้ง
2. ยอมรับความจริงและปล่อยวาง
คิดมาก วนๆ ซ้ำๆ กับปัญหาเดิมๆ แล้วได้อะไร มีแต่ความเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้น ถ้าเพียงแค่เรายอมรับมัน เผชิญหน้ากับมัน แล้วก็ Move On ไปต่อให้ได้ ปล่อยให้เรื่องที่ผ่านมาแล้วผ่านไป กลายเป็นบทเรียนให้เราได้เรียนรู้ ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย พลาดก็ต้องยอมรับว่าพลาด ไม่ต้องโทษใครอีกแม้กระทั่งตัวเอง เรื่องไม่จำเป็นไม่ต้องเก็บมาคิด ปล่อยมันลงซะบ้างนะ สิ่งที่แบกเอาไว้ในใจ ชีวิตมันก็แค่นี้เอง จะไปเอาอะไรกับมันมากมาย พรุ่งนี้ก็วันใหม่ เดี๋ยวก็มีเรื่องใหม่ๆ ที่มีประโยชน์กว่าเข้ามาให้คิดอยู่เสมอแหละ
3. ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการรู้สึกขอบคุณ
ช่วงที่รู้สึกเฟลมากๆ เราจะเขียนขอบคุณตัวเองใส่กระดาษหลายๆ ข้อเลย ขอบคุณกับสิ่งที่เป็นเราในทุกวันนี้ ขอบคุณสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยมากไปกว่านี้ ขอบคุณที่ยังมีพ่อแม่ไว้ให้รักและคิดถึง ขอบคุณความรู้ความสามารถที่เรามี ขอบคุณที่ยังสามารถกินอิ่มนอนหลับได้ ขอบคุณความผิดพลาดที่กำลังจะกลายเป็นบทเรียนให้เราก้าวต่อไปในอนาคต ขอบคุณเจ้านายที่ทำให้เราเป็นคนที่แกร่งขึ้น ทนได้กับทุกปัญหา ขอบคุณงานหนักที่ทำให้เราเก่งขึ้นในทุกๆ วัน ขอบคุณปัญหาและอุปสรรคทั้งหมดที่เข้ามาในชีวิต ที่ช่วยให้เรารู้จักคุณค่าของตัวเองมากขึ้น
ถ้าคิดได้แบบนี้นะ สุดยอดเลย ไม่ว่าเรื่องราวที่ผ่านมาจะแย่แค่ไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราเข้มแข็งขึ้นแล้ว
ถ้าเราพยายามคิดถึงสิ่งดีๆ เล็กๆ น้อยๆ รอบตัว ทุกวันได้ อย่างเช่น ขอบคุณกาแฟหอมๆ แก้วนั้น ที่ทำให้เราแฮปปี้ขึ้น ก็เหมือนกับเราค่อยๆ เติมพลังงานบวกให้ชีวิต วิธีนี้มันเวิร์คมากเลย
4. แก้ไขที่บ่อเกิดของปัญหา
ทุกคนต่างก็มีก้อนเมฆดำ ๆ กันคนละก้อนสองก้อน แต่จะมีใครมาบอกได้ว่าในเมฆพวกนั้นสะสมอะไรไว้บ้างนอกจากตัวเราเอง ลองแผ่มันออกดูสิจะได้เข้าใจว่าเรื่องราวที่มันให้จิตใจบอบช้ำทุกวัน มันประกอบไปด้วยปัญหาเรื่องไหนบ้าง รู้สาเหตุ เข้าใจ แก้ไข จะช่วยเปลี่ยนความคิดลบให้กลายเป็นความคิดบวก เปลี่ยนให้เมฆก้อนสีดำกลายเป็นสีขาว ลอยฟูๆ อยู่ข้างเราอีกครั้ง
5. หาพื้นที่ระบายความโกรธ
เวลาที่เจอเรื่องหนักๆ หัวร้อนมา มันก็ต้องอยากระบายออกกันบ้าง ไม่งั้นก็จะยิ่งเครียดหนักเข้าไปอีก ที่ที่เราจะแนะนำนั้น ไม่ใช่โซเชียล ไม่ใช่คนในบ้าน แต่เป็น Top Secret สถานอย่างไดอารี่ หรือ Note บนมือถือ เขียนมันลงไปให้ได้ระบายความในใจออกมา “ชีวิตชั้นห่วยแค่ไหนใครรู้บ้าง” “ด่าชั้นทำไมไอ้พวก…” ใช่สิ เราจะทำอะไรก็ได้ จะเขียนด่าให้หยาบคายสุดๆ แค่ไหนก็ได้ เพราะนี่คือพื้นที่ของเราจริงๆ ไม่มีใครรับรู้ได้ แล้วความโกรธ โมโห ความขาดสติในช่วงนั้นจะมลายหายวับลงไปครึ่งหนึ่ง พื้นที่ระบายความโกรธ ความเศร้าแห่งนี้มันดีจริง ๆ นะ พอเราเริ่มสบายใจ อารมณ์เย็นลงก็ไปต่อได้
6. หายตัวไปจากโลกโซเชียลเน็ทเวิร์ค
หนึ่งในตัวที่บั่นทอนชีวิตจิตใจส่วนหนึ่งก็มาจากโซเชียลมีเดียเนี่ยล่ะ ทั้ง Facebook, Instagram และอื่นๆ เราได้แต่มองเห็นคนที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ส่วนเรากลับรู้สึกตรงกันข้ามซะทุกเรื่อง
ชีวิตเราเคยปกติมาก จนวันที่โลกออนไลน์มาทำให้เรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิต มาเป็นบรรทัดฐานจนทำให้คิดว่าเรายังดีไม่พอ เรื่องที่คาดหวังไว้ไม่เคยไปถึง เอาล่ะ พอกันที ขอหนีไปซักพัก รอวันที่เราแข็งแรง กลับมารักและใช้ชีวิตเพื่อตัวเองแบบที่ไม่สนใจใคร เป็นคนใหม่ที่สตรองขึ้น พร้อมจะยืนหยัดเผชิญหน้ากับสังคมอีกครั้ง แล้วเราจะกลับมาพร้อมกับเอากำลังใจที่มีเพิ่มมาแบ่งปันให้ทุกๆ คนบนหน้า Wall ที่ต้องการด้วย ใจดีไปอีกนะ
7. พบแพทย์หน่อยไหม คุณหมอช่วยได้นะ
จริงๆ แล้วคนที่จัดว่ามีอาการของโรคซึมเศร้า อาจจะต้องกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เครียด และรู้สึกดาวน์ตลอดเวลา ติดต่อกันอย่างน้อยสองอาทิตย์ ถึงจะเข้าข่ายว่าเป็นโรค เพราะสมองเริ่มหลั่งสารเคมีไม่เท่ากันแล้ว ซึ่งเรื่องพวกนี้มันก็เกิดจากอาการเครียดสะสมที่เราไม่ยอมแก้กันนั่นแหละ แต่ถ้าเราเริ่มรู้ตัวว่าเราเครียดแล้วยังหาทางออกไม่ได้ตอนนี้ ก็ต้องขอพึ่งคุณหมอล่ะนะ
การรักษาก็แล้วแต่วิธีการของคุณหมอแต่ละท่าน ขอเล่าจากประสบการณ์ที่เคยไปพบแพทย์ คุณหมอจะให้กระดาษเรามา 1 แผ่นให้เราได้เขียนบรรยายเรื่องที่เราเครียด ว่ามันเป็นเพราะอะไร แล้วคุณหมอก็จะรับฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่เราระบายออกมา โดยไม่ตัดสิน พร้อมกับให้คำแนะนำดีๆ อย่างแรกเลยคงหนีไม่พ้นการปรับทัศนคติในการมองตัวเองให้เป็นไปในเชิงบวกมากขึ้น และพยายามทำความเข้าใจคนรอบข้างว่าทำไมพวกเค้าถึงทำพฤติกรรมเช่นนั้นกับเรา
ถ้าเราค่อยๆ เปลี่ยนความคิดเราทีละนิด มันก็จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ แล้วคุณหมอก็จะให้ยาเม็ดเล็ก ๆ ที่ช่วยคลายเครียดให้เรา แต่บอกเลยว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุนะ ถ้าอยากหาย ก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาจริง ๆ ด้วย
ความเจ็บป่วยทางร่างกายเดี๋ยวก็หาย แต่จิตใจที่ไม่ได้รับการรักษา ยิ่งนานวันจะยิ่งแย่ รีบดูแลคงใช้เวลาไม่นาน แต่การปล่อยทิ้งไว้แล้วบอกว่า “ชั้นไม่เป็นไร” อาจเรื้อรังจนไม่มีวันหาย
อย่าทรมานตัวเองด้วยการอยู่กับปัญหาที่ค้างคามานาน และปล่อยให้สิ่งต่างๆ ที่เราเกลียด เรื่องราวบ้าๆ บอๆ เหล่านั้นผ่านเข้ามาบั่นทอนชีวิตเลย นานวันเข้ามันจะยากต่อการฟื้นฟูสภาพจิตใจ ให้กลับมาสดใสแข็งแรงเหมือนเดิม มันคุ้มกันไหม ลองคิดดู
พอผ่านจุดนั้นมาได้ เราก็จะไม่ตัดสินใครที่กำลังบ่นว่าไม่มีความสุขอยู่บน Facebook ว่าเค้าน่ารำคาญ แต่เราจะไปคอมเม้นท์ให้กำลังใจทุกครั้ง และแนะนำวิธีคิดบวกให้ เชื่อเถอะว่า ถ้าเลือกได้ก็ไม่มีใครอยากจะเป็นหรอก มันไม่สนุกเลยจริงๆ
บทส่งท้าย
อยากให้พยายามเปลี่ยนวิธีคิดให้ตัวเองซะใหม่ หาวิธีทำให้โลกของเราสนุกเข้าไว้ เปลี่ยนมุมปัญหาของเราให้มีทางออกที่สร้างสรรค์ให้ได้ เราเข้าใจนะว่ามันยาก แต่ถ้าเราค่อยๆ ออกจากความมืดหม่นนี้ไปได้เราจะกลับมาสตรองขึ้น มีชีวิตที่ดีขึ้นได้แน่นอน อย่าให้ตัวเองติดอยู่ในความคิดลบนาน เพราะมันจะยิ่งทำให้เราจมลึกกับปัญหา จนกลับตัวขึ้นมายาก เรามาจับมือไว้แล้วผ่านมันไปให้ได้ด้วยกันนะ
สุดท้ายนี้ เรารู้ปัญหาของตัวเองดีกว่าใคร การเข้าใจและแก้ไขคงไม่ยากเกินไปสำหรับใจที่พร้อมจะสู้ต่อ จงจำไว้นะว่า “ทุกอย่างที่ได้ประสบพบเจอ คือ การเรียนรู้เพื่อให้ชีวิตแกร่งขึ้นไปอีกขั้น”
SummerTeas เราจะสุขภาพดี แข็งแรง และมีความสุขไปด้วยกัน