การนวดคืออะไร การนวดเป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่โลกและประวัติศาสตร์ของมนุษย์มาอย่างยาวนาน เป็นสิ่งแรกๆ ที่มนุษย์เรารู้จักนํามาใช้ในการบําบัดรักษาอาการปวดตามตัว เพื่อแก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งภายหลังการนวดธรรมดาเหล่านั้นได้ถูกพัฒนากลายมาเป็นศาสตร์แห่งการรักษาประเภทหนึ่ง สามารถรักษาโรคร้ายได้หลายชนิดทีเดียว
จนกระทั่งมาถึงยุคปัจจุบันนี้การนวดก็ยังเป็นสิ่งที่ยอมรับทั้งในวงการแพทย์และในผู้คนทั่วไป ฮิปโปเครตีส (Hippocrates) บิดาแห่งการแพทย์ แผนใหม่ยังเห็นความสําคัญของการนวดและได้กล่าวเอาไว้ว่า “แพทย์จะต้องมีความเชี่ยวชาญในหลายสิ่ง แต่ที่แน่นอนอย่างยิ่ง คือต้องมีความเชี่ยวชาญในการนวดด้วย”
ดูแลสุขภาพชีวิตในทุกมิติกับ Summerteas
ประวัติศาสตร์ของการนวด
แต่ก่อนนั้นการแพทย์ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องไหนก็ตามจะมองทางฝ่าย ตะวันตกเป็นแบบแผนเสียมากกว่า การนวดก็เช่นเดียวกันต่างก็มองและยึดถือในแบบฟากตะวันตก ซึ่งความเป็นจริงแล้วการนวดแบบตะวันออกเองก็มีดีอยู่เหมือนกัน บางอย่างก็ยังเหนือกว่าการนวดแบบตะวันตกด้วยซ้ำไปเสียอีก ซึ่งต่อมาได้มีการให้คําจํากัดความของการนวดเอาไว้หลายแบบ โดยหนึ่งในนั้นได้อธิบายว่าการนวดนั้นคือ “การใช้มืออย่างมีสติและสัมปชัญญะ เพื่อกระทําบนร่างกายโดยมีวัตถุประสงค์ในการบําบัด”
ลูซินด้า ลิเดล (Lucinda Lidel) ได้ให้ความหมายของการนวดเอาไว้ว่า “การแบ่งปันระหว่างการสัมผัส คือ มือ ร่างกาย ศีรษะ มือ หรือเท้า” ส่วนทางด้านประเทศไทยเอง ในปี พ.ศ. 2531 นายแพทย์ประเวศ วะสี ท่านได้กล่าวถึงความหมายของการนวดเอาไว้ว่า “การนวด หมายถึงการใช้ นิ้วมือทําการบีบนวดไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อบำบัดรักษาอาการต่างๆ” ดังนี้
- ช่วยบําบัด ลดอาการ เจ็บปวด ลดอาการบวม ซึ่งเกิดการเกร็งตัวของเอ็นกล้ามเนื้อหรือการคั่งของของเสียในเนื้อเยื่อ
- การคั่งของโลหิตใต้ผิวหนัง เพื่อช่วยลดหรือแก้ไขอาการติดขัด ช่วยให้การติดขัดสามารถเคลื่อนไหวได้
- ช่วยให้ผิวหนังเกิดความรับรู้ มีความรู้สึกดีขึ้น
- ช่วยให้กล้ามเนื้อถ่ายเทของเสีย ทําให้การไหลเวียนของโลหิต น้ําเหลืองดีขึ้น
- ตลอดจนแก้ไขปรับปรุงรูปร่าง รูปทรงที่ผิดปกติ
- ช่วยปรับปรุงระบบ หายใจให้คล่องตัวขึ้น
จากที่ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวมานั้นทําให้เห็นภาพของการนวดมากยิ่งขึ้น ซึ่งการนวดนั้นอาจจะมีอยู่หลายความหมาย แต่เราพอที่จะสรุปได้ว่า “การนวดเป็นศิลปะในการรักษาที่ใช้สัญชาตญาณผ่านการใช้ปลายนิ้วมือ” การกดลึกๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต เพิ่มการไหลเวียนของนำ้เหลือง ทําลายการแข็งตัวที่เกิดขึ้นในเส้นใยของกล้ามเนื้อ ช่วยลดและระงับความเจ็บปวดได้ โดยการนวดสามารถผ่านลงไปลึกจาก ผิวหนังถึงกล้ามเนื้อ หรืออาจจะถึงกระดูก สําหรับการนวดที่ดีที่มีประสิทธิภาพสูงนั้นจะกดลึกลงไปจนถึงจุดที่ถูกต้องตามหลัก ซึ่งการนวดในลักษณะนี้จะรู้จักในชื่อว่า “การนวดแบบโอลิสติก (Oristic)” หรือที่เรียกกันตามภาษาไทยว่า การนวดโดยสัญชาตญาณ ซึ่งทุกวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงให้เป็นที่จําง่ายขึ้นจึงเรียกว่า “การนวดเพื่อสุขภาพ”
การนวดเพื่อสุขภาพ
เป็นการนวดที่มุ่งเน้นในการรักษาเป็นสําคัญ โดยจะใช้การเพ่งเล็งการรักษาไปยังบริเวณใดบริเวณหนึ่ง เป็นการนวดที่จําเป็นต้องใช้สมาธิและความรู้เรื่องของระบบร่างกายมากพอสมควรทีเดียว นอกจากนั้นก็ต้องรู้จักสร้างทัศนคติที่ดีระหว่างผู้นวดและผู้ถูกนวดให้เหมาะสมกันด้วยโดยการสร้างทัศนคติที่ดีนั้นไม่ควรสร้างด้วยการพูดจากัน เพราะหากมีการพูดจากันแล้วก็มีความเป็นไปได้สูงที่สมาธิจะหลุด ทําให้มือที่ใช้นวดนั้นด้อยประสิทธิภาพลง การสร้างทัศนคติที่ดีนั้นควรที่จะสร้างด้วยการสัมผัสเป็นสําคัญ โดยผู้ที่นวดก็ต้องสัมผัสและนวดอย่างนุ่มนวลและหนักเบาตามความเหมาะสม ส่วนผู้รับการนวดก็ต้องผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่าได้เกร็งจนยากที่จะทําการนวด เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจกันเช่นนี้ย่อมทําให้การนวดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสมบูรณ์อย่างที่สุด
การนวดนั้นนอกจากจะยอมรับว่าเป็นการแพทย์อย่างหนึ่งแล้ว ยัง ยอมรับว่าเป็นศิลปะที่ใช้สัญชาตญาณของมนุษย์ผ่านปลายนิ้วมือสร้างสรรค์ขึ้นมา ก่อเกิดเป็นแบบแผนและเทคนิคต่างๆ เพื่อทําให้ชีวิตนั้นเกิดความสมดุลและแข็งแรงสามารถที่จะใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น
การนวดนั้นเริ่มต้นด้วยการสัมผัส เป็นการสัมผัสทําให้ช้าลงและสามารถกําหนดจังหวะของการนวดได้ จากนั้นจึงใช้การกดซึ่งผ่อนคลาย เป็นวิธีการที่ทําให้ร่างกายเกิดความผ่อนคลายอย่างที่สุด ช่วยปลดปล่อยความเครียดที่อยู่ในกล้ามเนื้อ ส่วนการบีบนวดเป็นการเปิดกล้ามเนื้อแล้วจึงใช้การนวดที่ใช้แรงขัดสีเพื่อผ่อนคลายความเครียดที่ลึกลงไปอีก จุดประสงค์ในการนวดนั้นมีทั้งการนวดแบบรักษาร่างกายและการนวดเพื่อสุขภาพ
โดยที่มาของศาสตร์เพื่อสุขภาพนี้ได้ถูกสืบทอดกันมานานนับหลายพันปี ซึ่งได้มีการศึกษาค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์พบว่า การนวดอย่างมีแบบแผนเริ่มมีบันทึกไว้ตั้งแต่ราว 5,000 ปีมาแล้ว โดยมีการกล่าวถึงไว้ใน ตําราวิชาแพทย์จีนในแผ่นดินจักรพรรดิหวงที่
ศาสตร์การนวดในอินเดีย
นอกจากนั้นในคัมภีร์อายุรเวทของอินเดีย ซึ่งมีอายุประมาณ 3,800 ปี ก็ได้กล่าวถึงการนวดเอาไว้เช่นกันว่า “เป็นการช่วยให้ร่างกายรักษาตนเอง โดยใช้น้ํามันทาถูไปตาม ผิวหนังส่วนต่างๆ…” ไม่เพียงเท่านั้น ในเอกสารทางการแพทย์ของอียิปต์ เปอร์เซีย และญี่ปุ่น ก็ยังมีการกล่าวถึงการนวดเอาไว้เช่นกัน โดยเน้นย้ำเรื่องของคุณประโยชน์ทางการนวดในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เอาไว้อย่างมากมายและหลากหลายไม่น้อยทีเดียว ทําให้เราได้เห็นว่าการนวดนั้นมีมานานหลายพันปี ซึ่งได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นการนวดอย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
ยิ่งในสมัยกรีกและโรมันโบราณ ซึ่งเป็นแหล่งรวมอารยธรรมทางการ แพทย์ของมนุษยชาติก็ว่าได้ มีการกล่าวถึงการนวดว่าใช้เป็นหลักในการบําบัดและบรรเทาอาการปวดต่างๆ ของร่างกาย
แม้แต่ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการแพทย์อย่าง “ฮิปโปเครตีส” (Hippocrates) ก็ยังได้กล่าวเกี่ยวกับการนวดเอาไว้เมื่อต้นศตวรรษที่ 5 ก่อน คริสตกาลว่า
“แพทย์ต้องชํานาญในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการถูนวด เพราะว่าการนวดสามารถเชื่อมข้อต่อที่หลวมให้แน่นขึ้นได้ ข้อที่หลวมทําให้เกิดการแข็งเกร็งมากเกินการ”
ตามประวัติศาสตร์ก็พบว่าจูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) เองก็ต้อง นวดตัวเองไปทั่วทั้งตัวทุกๆ วัน เพื่อบรรเทาการวูบหรือชักที่เกิดจากโรค ลมบ้าหมู อีกทั้งยังเพื่อบรรเทาอาการปวดประสาทและปวดศีรษะอีกด้วย
นอกจากนั้นไพลนี้ (Pyny) นักธรรมชาติวิทยาที่มีชื่อเสียงชาวโรมัน ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่นวดตัวเองอย่างสม่ำเสมอเพื่อบรรเทาอาการหอบหืดที่ติดตัวมาโดยตลอด
จากตัวอย่างของบุคคลสําคัญทั้งสองทําให้เห็นว่าอาณาจักรโรมันนั้น มีการนวดเพื่อรักษาอยู่จริงๆ ซึ่งเมื่ออาณาจักรนี้ล่มสลายเหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็พลอยสาบสูญหายไปด้วย แต่กลับปรากฎว่าการนวดแบบอาหรับได้รับความเจริญมากยิ่งขึ้น ซึ่งในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 7 จากบันทึกของอะวิเซนนา (Avisenna) นักปรัชญาและแพทย์ชาวอาหรับ ได้ทําการบันทึกเอาไว้ใน “บัญญัติ” ของ ตนเองโดยได้กล่าวว่า “วัตถุประสงค์ของการนวด คือเพื่อขจัดของเก่าที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อ ซึ่งไม่สามารถขจัดไปได้โดยการออกกําลังกาย”
ทางฝ่ายยุโรปเองช่วงยุคกลาง การนวดก็ได้รับความน้อยลงมาก เพราะผู้คนต่างเชื่อถือในเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุมากกว่า จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษ ที่ 16 การนวดก็เริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นโดยแพทย์ชาวฝรั่งเศส
จากต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 แพร์ เฮนริก ลิง (Parr Henrik Ling) ชาวสวีเดนได้พัฒนาการนวดแบบสวีดิชขึ้น โดยรวบรวมระบบที่ได้จากความรู้ในเรื่องยิมนาสติกสรีรวิทยาและจากเทคนิคของจีน อียิปต์ กรีก และโรมัน จากนั้นการนวดก็ได้ถูกพัฒนาปรับแต่งไปตามแต่ละยุคแต่ละสมัยจนมาถึงทุกวันนี้
ทางฟากตะวันออกเองนั้น การนวดก็เปรียบเสมือนการรักษาแบบพื้นบ้าน ความรู้ดังกล่าวถูกสืบทอดกันมาในแต่ละรุ่นอย่างการนวดแบบ “ชิอัตซู” (Shiatsu) ที่เป็นการนวดแบบญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง สําหรับประเทศไทยเองก็มี “การนวดไทยแผนโบราณ” ที่สืบทอดต่อกันมา โดยปัจจุบันนี้มีการเผยแพร่กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก
ประโยชน์ดีๆ ที่ได้จากการนวด
สําหรับการนวดนั้นถือว่าเป็นศาสตร์ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจของคนเราเป็นอย่างยิ่ง ทางด้านร่างกายนั้นการนวดจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ช่วยทําให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น เพิ่มระดับเฮโมโกลบินและการไหลเวียนของน้ําเหลืองให้สะดวกขึ้น อีกทั้งยังช่วยยืดข้อต่อกระดูก
ส่วนทางด้านจิตใจของคนเรา การนวดนั้นถือว่าเป็นการช่วยลดความเครียด ความกระวนกระวายในจิตใจ อีกทั้งยังช่วยสร้างสติสัมปชัญญะให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งหากเราจะแยกแยะออกเป็นข้อๆ จะได้ดังต่อไปนี้
- การนวดเป็นการช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวดของร่างกาย เป็นทางหนึ่งที่ช่วยหลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดที่เป็นยาอันตรายให้โทษแก่ร่างกาย
- การนวดช่วยกระจายเลือดลมในร่างกายให้มาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อ หรือหลอดเลือดได้อย่างเป็นปกติ ช่วยบรรเทาอาการปวดให้ดีขึ้น
- การนวดเป็นการช่วยทําให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่ตั้งหรือแข็งตัว เกิดการอ่อนตัวและสามารถทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การนวดช่วยแก้อาการเคล็ด ยอก ช้ำ บวม แก้โรคอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ นอกจากนั้นยังช่วยผ่อนคลายความเครียดในจิตใจ
- การรักษาด้วยการนวดเป็นการสร้างกําลังใจให้แก่ผู้ป่วย ซึ่งเสียเงินเพียงน้อยแต่ได้ประโยชน์มาก ผู้ที่มีความรู้ทางด้านการนวดนั้นยังสามารถ ช่วยเหลือตนเอง ครอบครัวและผู้อื่นได้อีกด้วย ถือเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อคนในครอบครัว
โทษของการนวดที่ควรศึกษา
อันที่จริงแล้วการนวดนั้นให้ประโยชน์อย่างมากมายจนเราคาด ไม่ถึง แต่ในทางกลับกันก็ก่อเกิดโทษได้เหมือนกัน ซึ่งโทษของการนวดที่ ควรจะรู้มีดังต่อไปนี้
- การนวดบางครั้งอาจจะทําให้เกิดอาการระบมหรือชอกช้ำมากกว่า เดิมก็เป็นได้ซึ่งนั่นอาจจะทําให้อาการของโรคหรือการบาดเจ็บนั้นรุนแรงยิ่งขึ้น
- การนวดจะทําให้เกิดอาการบวมแดงมากกว่าเดิม ยิ่งในกรณีมีบาดแผลหรือเกิดอุบัติเหตุเจ็บป่วยมาก่อนยิ่งต้องระวังให้มาก
- การนวดอาจทําให้เกิดอาการหลอดเลือดแตกหรืออักเสบขึ้นมาได้ ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากผู้นวดไม่รู้สมมติฐานของโรคที่แท้จริงนั่นเอง
- ในบางกรณีการนวดยิ่งจะทําให้เกิดโรคแทรกซ้อนหลังจากการนวด เสร็จ อาทิ โรคความดัน เป็นต้น
- ในบางกรณีการนวดอาจจะนํามาซึ่งการเกิดอาการอักเสบติดเชื้อ ขั้นรุนแรงตามมาก็เป็นได้ เช่น โรคไส้ติ่งอักเสบ โรคกระเพาะอาหาร เป็นต้น
- ในระหว่างการนวดอาจทําให้ผู้นวดหรือผู้ถูกนวดมีโอกาสติดต่อโรคจากกันและกัน โดยผ่านทางการสัมผัสหรือการหายใจร่วมกันได้
บทส่งท้าย
จะเห็นได้ว่าการนวดนั้นมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานนับพันปี คนในยุคก่อนๆ ก็มักใช้การนวดในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ และใช้ในการบำบัดความเครียด ผ่อนคลายจิตใจ ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวลดอาการเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี จะเห็นได้ว่าการนวดนั้นมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวัง คนที่จะเป็นผู้นวดนั้นก็ต้องมีความรู้ในการนวดเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นหากกดหรือนวดผิดจุด อาจทำให้ผู้ถูกนวดเกิดอาการบาดเจ็บมากกว่าเดิมก็เป็นได้
Summer Teas เราจะสุขภาพดี กินอิ่ม นอนหลับ แข็งแรงไปด้วยกัน