วิธีเลือกซื้อประกันให้เหมาะสม ตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง

วิธีเลือกซื้อประกันให้เหมาะสม

วิธีเลือกซื้อประกันให้เหมาะสม นั้นควรพิจารณาด้วยความรอบคอบ สำรวจจุดประสงค์และงบประมาณของเราให้ดี เพราะประกันนั้นมีหลากหลายประเภท มีความคุ้มครองที่ต่างกันรวมไปถึงรายละเอียด เงื่อนไขต่างๆ มากมาย การที่เราเรียนรู้หลักการเลือกประกันเอาไว้บ้าง ก็จะทำให้เราได้รับสิทธิประโยชน์อย่างสูงสุดในการซื้อประกันแต่ละครั้งนั่นเอง ซึ่งการซื้อประกันนั้นนอกจากจะช่วยคุ้มครองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตแล้ว ยังสามารถช่วยคุ้มครองในเรื่องของการเงิน และยังนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ไปดูวิธีเลือกซื้อประกันกันต่อเลย

ใส่ใจสุขภาพทางการเงินไปกับ Summerteas

มันนี่ ฟิต เวลท์ตี้ 15/5 (มีเงินปันผล)

6 วิธีเลือกซื้อประกันให้เหมาะสม

1.กำหนดวัตถุประสงค์ในการซื้อประกัน

เราควรระบุวัตถุประสงค์ในการซื้อประกันไว้ชัดเจน เพื่อให้สามารถเลือกประเภทของประกันที่เหมาะสมกับความต้องการและความเสี่ยงของผู้เอาประกันได้ และยังทำให้เราได้รับประโยชน์สูงสุดจากการซื้อประกันในแต่ละครั้งด้วย สนใจทำประกันออมเงินคลิก

2.ศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง

เราต้องพิจารณาปริมาณความคุ้มครองของประกันว่าเพียงพอต่อความเสี่ยงของผู้เอาประกันหรือไม่ และควรพิจารณาเงื่อนไขการคุ้มครองและค่าเสียหายที่ครอบคลุมในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

3.ศึกษาแผนประกัน

คุณควรศึกษาแผนประกันที่มีอยู่ในตลาดเพื่อเลือกแผนที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ และคุณยังสามารถเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของแผนประกันต่างๆ และดูข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้ประกันให้ดีก่อน

4.เปรียบเทียบค่าเบี้ยประกัน

ควรเปรียบเทียบค่าเบี้ยประกันระหว่างบริษัทประกันต่าง ๆ สัก 2-3 เจ้า ดูว่าแต่ละเจ้าให้การคุ้มครองที่มากน้อยต่างกันอย่างไรบ้าง และพิจารณาว่าค่าเบี้ยประกันเหมาะสมกับปริมาณความคุ้มครองที่ได้รับหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เราได้ข้อมูลสำคัญและสามารถเลือกประกันจากบริษัทที่ให้ผลประโยชน์ได้สูงสุดด้วย

5.เลือกบริษัทประกันที่เหมาะสม

คุณควรศึกษาบริษัทประกันที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ โดยการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบริษัทประกัน จากการทำรีเสิร์ชข้อมูล ศึกษาหรือสอบถามข้อมูลจากผู้ใช้บริการจริง ซ่งข้อมูลเหล่านี้อาจช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคุณควรศึกษาความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันให้ดี อย่างเช่น การตรวจสอบเครดิตและภาพรวมของบริษัทประกัน รวมไปถึงการตรวจสอบความเสถียรในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนว่าเรียบร้อยดีหรือไม่

ดูเพิ่มเติม มันนี่ ฟิต เวลท์ตี้ 15/5 (มีเงินปันผล) ไทยประกันชีวิต สุดคุ้ม

6.ศึกษาเงื่อนไขในการใช้ประกันให้ดี

คุณควรศึกษาเงื่อนไขการใช้ประกันให้ละเอียด สอบถามกับทางตัวแทนให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาดในอนาคต รวมถึงต้องวันสิ้นสุดของการคุ้มครอง ระยะเวลาที่จะได้รับการคุ้มครอง วงเงินคุ้มครอง และอย่าลืมที่จะจ่ายค่าเบี้ยประกันเมื่อครบกำหนด เพื่อรักษาสิทธิความคุ้มครองของเรา

วิธีเลือกซื้อประกันให้เหมาะสม

ประกันมีกี่ประเภท

ประกันมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีลักษณะและข้อความเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  1. ประกันชีวิต (Life Insurance): ประกันความเสียหายหรือการสูญเสียทางการเงินที่เกิดขึ้นจากการเสียชีวิต ประกันชีวิตสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประกันชีวิตจำนวนเงินเต็ม (Whole Life Insurance) และประกันชีวิตระยะสั้น (Term Life Insurance)
  2. ประกันสุขภาพ (Health Insurance): ประกันที่ช่วยเสริมสร้างการป้องกันและรักษาโรค มีหลายประเภทเช่น ประกันสุขภาพส่วนบุคคล (Personal Health Insurance) และประกันสุขภาพกลุ่ม (Group Health Insurance)
  3. ประกันอุบัติเหตุ (Accident Insurance): ประกันความเสียหายหรือการบาดเจ็บที่เกิดจากอุบัติเหตุ
  4. ประกันอาวุโส (Annuity Insurance): ประกันที่ช่วยรักษาสิทธิ์ในการได้รับรายได้เมื่อเกษียณอายุหรืออายุถึงขีดจำกัด
  5. ประกันรถยนต์ (Car Insurance): ประกันที่ช่วยคุ้มครองรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์จากความเสียหายหรือการสูญเสีย
  6. ประกันบ้าน (Home Insurance): ประกันที่ช่วยคุ้มครองบ้านและทรัพย์สินจากความเสียหายหรือการสูญเสีย

นอกจากนี้ยังมีประเภทอื่น ๆ เช่น ประกันการเดินทาง (Travel Insurance) เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม FIRE Movement คืออะไร ทำยังไงให้เกษียณเร็ว

ประโยชน์ของการทำประกัน

การทำประกันมีประโยชน์มากมาย ดังนี้

1.ช่วยป้องกันความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สิน

ประกันชีวิตและประกันอุบัติเหตุช่วยป้องกันความเสียหายหรือการเสียชีวิตของผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้เป็นผู้อยู่ในครอบครัว เช่น คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลหรือค่าชดเชยในกรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ หรือให้เงินชดเชยในกรณีเสียชีวิต ซึ่งจะช่วยให้ผู้เอาประกันชีวิตหรือคนในครอบครัวไม่ต้องเผชิญกับความเสียหายทางการเงินอย่างไม่คาดฝัน

2.ช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงิน

การมีประกันชีวิตและประกันสุขภาพจะช่วยลดความกังวลในด้านการเงิน เนื่องจากสามารถป้องกันความเสียหายทางการเงิน โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น การรักษาโรคร้ายแรง หรือการสูญเสียรายได้เนื่องจากอุบัติเหตุ เป็นต้น

3.ช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติม

ตัวอย่างเช่น ประกันอาวุโสช่วยให้ได้รับรายได้เพิ่มเติมหลังเกษียณอายุ โดยจะได้รับการจ่ายเงินประกันคืนเป็นรายเดือนหรือรายปี ซึ่งช่วยเสริมสร้างรายได้ในช่วงชีวิตที่ไม่มีรายได้จากการทำงาน

4.ให้ความสบายใจแก่ตัวเองและครอบครัว

การทำประกันช่วยให้เรามีความสบายใจและมั่นใจในการดำเนินชีวิต และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาระหนี้สินให้กับครอบครัวหลังเราเสียชีวิต

5.การออมเงินและการลงทุน

บางประเภทของประกันเช่น ประกันชีวิตแบบ Whole Life Insurance และประกันอาวุโส (Annuity Insurance) สามารถช่วยให้ผู้เอาประกันชีวิตสะสมเงินออมและลงทุนได้ โดยจะมีการเก็บเงินเป็นเวลานานหลายปีแล้วจ่ายผลตอบแทนให้หลังจากผู้เอาประกันชีวิตเกษียณอายุ หรือให้รายได้เพิ่มในอนาคต

6.ช่วยลดหย่อนภาษี

สำหรับผู้ที่มีรายได้สูง การซื้อประชีวิต ประกันสุขภาพ หรือประกันออมทรัพย์ สามารถนำไปทำการลดหย่อนภาษีได้ด้วย ดู ประกันลดหย่อนภาษี เพิ่มเติมที่นี่ ซึ่งจะช่วยลดภาระภาษีไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ข้อเสียของการทำประกัน

การทำประกันอาจมีข้อเสียบางอย่างดังนี้

1.ค่าเบี้ยประกันสูง

การทำประกันอาจมีค่าเบี้ยประกันที่สูง เมื่อเทียบกับการไม่ทำประกัน โดยค่าเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับประเภทของประกันและสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน

2.มีข้อจำกัดในการคุ้มครอง

การทำประกันอาจมีข้อจำกัดในการคุ้มครอง เช่น การคุ้มครองเฉพาะเหตุการณ์บางอย่างเท่านั้น ไม่คุ้มครองบางโรคหากเราเคยมีประวัติรักษา และอาจมีมีเงื่อนไขในการคุ้มครองที่ผู้เอาประกันต้องปฏิบัติตาม

3.เงื่อนไขการจ่ายค่าสินไหมทดแทน

การทำประกันอาจมีเงื่อนไขในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่อาจทำให้ผู้เอาประกันต้องเสียเงินเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามต้องการ

4.การถูกปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน

บางครั้งผู้เอาประกันอาจถูกปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยบริษัทประกัน โดยเหตุผลอาจเป็นเพราะไม่มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างถูกต้องหรือไม่มีการตรวจสอบความเสียหายจริงๆ หรือสาเหตุอื่นๆ เช่น มีการปกปิดข้อมูลสุขภาพก่อนทำประกัน และอยู่ในช่วงระยะเวลาที่บริษัทสามารถยกเลิกการให้ความคุ้มครองได้ เป็นต้น

5.ความเสี่ยงของการลงทุน

ประกันบางประเภทอาจมีการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งไม่การันตีผลกำไร และอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียเงินลงทุนได้ ดังนั้นจึงควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่าบริษัทนำเงินเราไปลงทุนที่ไหน มีความเสี่ยงสูงหรือไม่

6.ค่าใช้จ่ายสูง

ค่าใช้จ่ายในการทำประกันบางฉบับอาจสูงเกินความสามารถในการชำระเบี้ยของผู้เอาประกันภัย ซึ่งจะทำให้ผู้เอาประกันภัยไม่สะดวกในการชำระเบี้ยประกัน และในบางกรณีอาจทำให้ผู้เอาประกันภัยรู้สึกว่าเป็นการเสียเงินไปโดยไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทนอะไรกลับมา

7.ความซับซ้อน

บางประเภทของประกันอาจมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ซับซ้อนและยากต่อการเข้าใจ ซึ่งอาจทำให้เราไม่เข้าใจว่าเราได้รับความคุ้มครองอย่างไร และอาจมีความเสี่ยงในการไม่ได้รับสิทธิ์ประโยชน์ตามที่คาดหวัง

8.การยกเลิกประกัน

หากเราต้องการยกเลิกการทำประกันก่อนกำหนด อาจต้องเสียเงินต้นและมีค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้เราเสียเงินเป็นจำนวนมาก และไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทนอะไรกลับมา อย่างไรก็ดีเราควรสอบถามกับตัวแทนถึงสิทธิที่เราสามารถขอคืนได้ ในกรณีที่ต้องการยกเลิกกรมธรรม์จริงๆ

9.การอัพเกรดประกัน

ในบางครั้งการทำประกันอาจต้องการการอัพเกรด เพื่อเพิ่มความคุ้มครองหรือปรับปรุงเงื่อนไข ซึ่งอาจทำให้ต้องจ่ายเงินเพิ่มและทำให้ราคาเงินประกันเพิ่มขึ้น

ศึกษา วิธีเลือกซื้อประกันให้เหมาะสม เพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง

การเลือกซื้อประกันที่เหมาะสมนั้นควรพิจารณาดัชนีความคุ้มค่าของประกัน (insurance coverage) และเบี้ยประกัน (insurance premium) เพื่อให้ได้รับความคุ้มค่าในการใช้งานประกันสูงสุดโดยจ่ายเบี้ยประกันในราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังควรพิจารณาตัวเลือกของบริษัทประกันที่มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการประกันที่ตรงกับความต้องการของคุณ โดยการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ เช่น ประวัติความเสียหายของบริษัทประกัน อัตราส่วนเบี้ยประกัน และข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ในสัญญาประกัน ทั้งนี้ยังสามารถใช้บริการเว็บไซต์เปรียบเทียบประกันภัย (insurance comparison websites) เพื่อช่วยเปรียบเทียบข้อมูลประกันภัยและราคาประกันภัยของบริษัทประกันที่ต่างกันได้ และเลือกซื้อประกันภัยที่ตรงกับความต้องการและสามารถจ่ายได้ตามระบบการเงินของคุณได้ดีที่สุด